วันอาทิตย์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑

เรียนรู้เรื่องดนตรีไทย


เครื่องดนตรีไทย
เครื่องดนตรีไทย คือ สิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับทำเสียงให้เป็นทำนอง หรือจังหวะ วิธีที่ทำให้มีเสียงดังขึ้นนั้นมี อยู่ 4 วิธีคือ
ใช้มือหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งดีดที่สาย แล้วเกิดเสียงดังขึ้นสิ่งที่มีสายสำหรับดีด เรียกว่า "เครื่องดีด"
ใช้เส้นหางม้าหลาย ๆ เส้นรวมกันสีไปมาที่สายแล้วเกิดเสียงดังขึ้น สิ่งที่มีสายแล้วใช้เส้นหางม้าสีให้เกิด เสียงเรียกว่า "เครื่องสี"
ใช้มือหรือไม้ตีที่สิ่งนั้น แล้วเกิดเสียงดังขึ้น สิ่งที่ใช้ไม้หรือมือตี เรียกว่า "เครื่องตี"
ใช้ปากเป่าลมเข้าไปในสิ่งนั้น แล้วเกิดเสียงดังขึ้น สิ่งที่เป่าลมเข้าไปแล้วเกิดเสียงเรียกว่า "เครื่องป่า" เครื่องทุกอย่างที่กล่าวแล้วรวมเรียกว่า เครื่องดีด สี ตี เป่า
[ขยายดูภาพใหญ่ ]

การผสมวง
ผสมวงคือ การเอาเครื่องดนตรีหลาย ๆ อย่างมาบรรเลงรวมกัน แต่การที่จะนำเอาเครื่องดนตรีคนละอย่างมาบรรเลงพร้อม ๆ กันนี้ จะต้องพิจารณาเลือกแต่สิ่งที่มีเสียงกลมกลืนกันและไม่ดังกลบเสียงกัน สมัยโบราณนั้นเครื่องดีดก็จะผสมแต่ กับเครื่องสี เพราะมีเสียงที่ค่อนข้างเบาด้วยกัน และเครื่องตีก็จะผสมแต่เฉพาะกับเครื่องเป่าเท่านั้น เพราะมีเสียงค่อน ข้าง ดังมากด้วยกันภายหลังเมื่อรู้จักวิธีสร้างหรือแก้ไขเครื่องตีและเครื่องเป่าให้ลดความดังลงได้พอเสมอกับเครื่อง ดีดเครื่องสี จึงได้นำเครื่องตีและเครื่องเป่าเหล่านั้นบางอย่างเข้าผสมเฉพาะแต่ที่ต้องการและจำเป็นและเลือกดูว่า เครื่องดนตรีอย่างไหนทำเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ได้หลายเสียง ก็ให้บรรเลงเป็นทำนองอย่างไหนทำเสียงสูงต่ำหลาย ๆ เสียงไม่ได้ ก็ให้ เป็นพวกบรรเลงประกอบจังหวะ
วงดนตรีไทยที่ผสมเป็นวงและถือเป็นแบบแผน มีอยู่ 3 อย่างคือ วงปี่พาทย์ วงเครื่องสาย และวงมโหรี นอกจาก นี้ถือว่าเป็นวงพิเศษ
"วงปี่พาทย์" ผสมด้วยเครื่องตีและเป่า มีอยู่ 3 ขนาด คือวงปี่พาทย์เครื่องห้า วงปี่พทาย์เครื่องคู่และวงปี่พาทย์ เครื่องใหญ่
"วงเครื่องสาย" เป็นวงดนตรีที่มีเครื่องดีด และเครื่องสีเป็นหลัก มีเครื่องเป่าและเครื่องตีที่ได้เลือกว่ามี เสียงเหมาะสมกันผสม ดังนี้ เครื่องสายวงเล็ก และ เครื่องสายเครื่องคู่
"มโหรี" เป็นวงดนตรีผสม ตั้งแต่มีไม่กี่สิ่ง จนกลายเป็นวงเครื่องสายผสมกับวงปี่พาทย์ ดังนี้ วงมโหรีโบราณ มโหรีวงเล็ก วงมโหรีเครื่องคู่ วงมโหรีเครื่องใหญ่
[ขยายดูภาพใหญ่ ]

ลำดับเสียง
เสียงของเครื่องดนตรี ที่จะบรรเลงเป็นทำนองนั้น จะต้องมีเสียงสูงต่ำเรียงลำดับกันหลาย ๆ เสียง โดยปกติก็มีอยู่ 7 เสียง เมื่อถึงเสียงที่ 8 ก็ถือว่าเป็นเสียงซ้ำกับเสียงที่ 1(เรียกว่า คู่ 8) และซ้ำต่อ ๆ ไปตามลำดับ แต่ระยะความห่างจา ก เสียงหนึ่งไปอีกเสียงหนึ่งนั้น ดนตรีของแต่ละชาติมักจะนิยมแบ่งระยะไม่เหมือนกัน ส่วนการแบ่งระยะเสียงเรียงลำดับของ ดนตรีไทยนั้น แบ่งความห่างของเสียงเท่า ๆ กันทั้ง 7 เสียงจากเสียงที่ 1 ไปเสียงที่ 2 จากเสียงที่ 2 ไปเสียงที่ 3 จาก3 ไป 4 จาก 4 ไป 5 จาก 5 ไป 6 จาก 6 ไป 7 และ จาก 7 ไป 8 ทุก ๆ ระยะ เท่ากันหมด
[ขยายดูภาพใหญ่ ]

เพลงดนตรีไทย
เพลงดนตรีของไทยนั้น มีทำนองต่าง ๆ เพลงบางชนิดก็มีทำนองพื้น ๆ เรียบ ๆ ไม่มีพลิกแพลงอย่างใด เรียกว่า "เพลงพื้น " บางชนิดก็เดินทำนองเป็นเสียงยาว ๆ เพลงชนิด นี้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีก็จะต้องตีกรอทำให้เสียงยาวจึงเรียกว่า " เพลงกรอ" และเพลงบางชนิดก็มีทำนองพลิกแพลงโลดโผน มีแบ่งเครื่องดนตรีเป็นพวก ผลัดกันหยุด ผลัดกันบรรเลง ก็เรียกว่า " เพลงลูกล้อลูกขัด" ถ้าจะแบ่งตามลักษณะของเพลง ก็จะแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ
"เพลงหน้าพาทย์" ได้แก่ เพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งของมุนษย์ ของสัตว์ ของวัตถุต่าง ๆ และอื่น ๆ
"เพลงรับร้อง" ที่เรียกว่าเพลงรับร้องก็ด้วยบรรเลงรับจากการร้อง คือ เมื่อคนร้องได้ร้องจบไปแล้วแต่ละท่อน ดนตรีก็ต้องบรรเลงรับในท่อนนั้น ๆ โดยมากมักเป็นเพลงอัตรา 3 ชั้นและเพลงเถา เช่น เพลงจระเข้หางยาว 3 ชั้น เพลงสี่บท 3 ชั้น และเพลงบุหลันเถา เป็นต้น
"เพลงละคร" หมายถึงเพลงที่บรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร และมหรสพต่าง ๆ ซึ่งหมายเฉพาะเพลงที่มีรัองและดนตรีรับเท่า นั้น เพลงละครได้แก่เพลงอัตรา 2 ชั้น เช่น เพลงเวสสุกรรม เพลงพญาโศก หรือชั้นเดียว เช่น เพลงนาคราช เพลงตะลุ่มโปง เป็นต้น
"เพลงเบ็ดเตล็ด" ได้แก่ เพลงเล็ก ๆ สั้น ๆ สำหรับใช้บรรเลงเป็นพิเศษ เช่น บรรเลงต่อท้ายเพลงใหญ่เป็นเพลงลูกบท หรือเพลงภาษา ต่าง ๆ ซึ่งบรรเลงเพื่อสนุกสนาน
[ขยายดูภาพใหญ่ ]

การบรรเลงดนตรีไทย
การบรรเลงดนตรีไทยนั้น ผู้บรรเลงต้องจำทำนองเนื้อเพลงได้อย่างแม่นยำอย่างหนึ่ง รู้วิธีบรรเลงและหน้าที่ของ เครื่องดนตรีที่ตนบรรเลง เช่น ระนาดเอก ระนาดทุ้มว่ามีอย่างไร และมีสติปัญญาแต่งทำนองให้เกิดความไพเราะอีกอย่างหนึ่งเพราะการ บรรเลงดนตรีไทยไม่ได้ดูโน๊ต จึงต้องใช้ความจำ ในขณะที่บรรเลง ผู้บรรเลงจะต้องแต่งทำนองด้วยปัญญาของตน ให้ดำเนินไปตาม วิธีการบรรเลงเครื่องดนตรีที่ตนบรรเลง เช่น ระนาดเอก ก็ต้องเก็บถี่ ๆ ตีเป็นคู่ 8 พร้อม ๆ กันทั้งสองมือ และต้องไม่ให้ผ ิด ไปจากเนื้อเพลงของเพลงนั้นด้วย
[ขยายดูภาพใหญ่ ]

การฟังเพลงไทย
วงดนตรีแต่ละอย่าง ย่อมมีวิธีบรรเลงและเสียงของเครื่องดนตรีต่างกัน จึงต้องรู้จักวงดนตรีที่ฟังนั้นเสียก่อน วงปี่พาทย์ที่ตีด้วยไม้แข็ง ก็ย่อมมีเสียงแกร่งกร้าว มักบรรเลงค่อนข้างเร็ว และโลดโผน วงปี่พาทย์ไม้นวม การบรรเลง ก็จะต้องค่อนข้างช้า ไพเราะในทางนุ่มนวล วงมโหรีจะต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนวงเครื่องสาย อาจมีได้ทั้งรุกเร้า รวดเร็ว และไพเราะนุ่มนวล เมื่อรู้เช่นนี้ ขณะฟังวงอะไรบรรเลงก็ฟังโดยทำใจให้เป็นไปตามลักษณะของวงชนิดนั้น
การฟังเพลง สิ่งสำคัญก็อยู่ที่ทำนอง เครื่องดนตรีที่บรรเลงทุก ๆ อย่างย่อมมีทำนองของตัวจะต้องฟังดูว่าเครื่อง ดนตรีทุก ๆ อย่างนั้น ดำเนินทำนองสอดคล้องกลมเกลียวกันดีหรือไม่ และต่างทำถูกตามหน้าที่) หรือไม่ เช่น ซออู้ทำหน้า ที่ หยอกล้อยั่วเย้าหรือเปล่า หรือฆ้องวงเล็ก ตีสอดแทรกทางเสียงสูงดีหรือไม่ เป็นต้น เมื่อสังเกตการบรรเลงอย่างนั้นแล้วจึง ทำอารมณ์ให้เป็นไปตามอารมณ์ของเพลง เพราะทำนองเพลงย่อมแสดงอารมณ์โศกรัก รื่นเริง หรือขับกล่อมให้เพลิดเพลิน เพลงอารมณ์โศก และรักมักจะมีจังหวะช้า ๆ และเสียงยาว เพลงรื่นเริง มักจะมีจังหวะค่อนข้างเร็ว และเสียงสั้น ส่วนเพลงขับกล่อม ก็มั ก จะเป็นพื้น ๆ เรียบ ๆ สม่ำเสมอ ทั้งนี้จะต้องสังเกตด้วยเสียงของทำนองที่มาสู่อารมณ์เราด้วย ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อฟัง เพลงในอารมณ์ใด ก็ตั้งใจฟังไปในอารมณ์นั้น ก็จะได้รสไพเราจากการฟังได้อย่างแท้จริง
[ขยายดูภาพใหญ่ ]

การบรรเลงดนตรีไทยประกอบงาน
การที่จะมี่ดนตรีบรรเลงประกอบในงาน ที่จะจัดให้มีขึ้นนั้น ก็ควรจะยึดถือแบบแผนที่สมัยโบราณได้เคย ใช้กันมาจนเป็นประเพณีไปแล้ว คือ
งานที่มีพระสงฆ์สวดมนต์และฉันอาหาร ควรใช้วงปี่พาทย์ จะเป็นวงปี่พาทย์เครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ ก็แล้วแต่เห็นสมควร
งานแต่งงาน หรือที่เรียกกันว่างานมงคลสมรส ควรใช้วงมโหรีหรือวงเครื่องสาย
งานศพ ถ้าจะใช้ดนตรีไทย ควรใช้วงปี่พาทย์นางหงส์
งานพิเศษที่จัดขึ้นเฉพาะครั้งคราว เช่น รับแขกผู้มีเกียรติ ชุมนุมเพื่อกิจการหรือสมาคมอาจใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม หรือ มโหรี หรือเครื่องสาย ก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่เจ้าของงานจะพอใจ
สวัสดีค่ะ...ท่านอาจารย์ และเพื่อน ๆ ป.บัณฑิต รุ่น 10 ทุกคน...

วันอาทิตย์ที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑

วันเสาร์ที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เกี่ยวกับตัวดิฉัน

ดิฉัน พรทิพย์(ครูแหม่ม) มังคลาด





เทียววัดหลวง ประเทศลาว เที่ยวภูหินร่องกล้า

ในหลวงกับเทคโนโลยี


โครงการปลูกหญ้าแฝก

พระมหากษัตริย์ผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก" หรือ "พระมหากษัตริย์นักพัฒนาผู้ยิ่งใหญ่" หรือประโยคใดก็ตามที่เหล่าประชาชนชาวไทยตลอดจนชาวโลก ได้กล่าวถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ด้วยความชื่นชมนั้น เป็นเรื่องที่ทุกคนพบเห็นอย่างเป็นรูปธรรมจากการทรงงานอย่างหนักของพระองค์ตลอดเวลา กว่า 50 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะแนวทางการพัฒนาของพระองค์นั้นมีหลักสำคัญๆ ที่ทรงปฏิบัติคือจะต้องเป็นไปตามสภาพภูมิศาสตร์สังคม นำวัตถุดิบในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ให้ทันกับเทคโนโลยีปัจจุบัน แต่ทั้งนี้เกษตรกรสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างประหยัด ขณะเดียวกันจะต้อง มีการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปติดตามการดำเนินงานที่บริเวณพื้นที่ดินเสื่อมโทรมเขาทอง เขาบ่อหิน (Bad Land) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2543 ในโอกาสนี้ได้พระราชทานพระราชดำริให้ทดลองปลูกหญ้าแฝก เพื่อแก้ไขดินเลวโดยวิธีตามธรรมชาติ

"หญ้าแฝก" เป็นพืชชนิดหนึ่งที่ได้พระราชทานพระราชดำริให้ศึกษาและนำมาใช้ในการอนุรักษ์ดินและน้ำ ตลอดจนใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา จึงได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันสนองพระราชดำริทั้งด้านการศึกษา วิจัย และปฏิบัติในพื้นที่จริง ขณะเดียวกันทรงติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ และพระราชทานพระราชดำริให้ปรับปรุงแก้ไขเสมอมา ในปัจจุบันจึงมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมดำเนินการมากกว่า 30 หน่วยงาน มีผลงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับหญ้าแฝกมากกว่า 100 เรื่อง มีการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ด้านต่างๆ คือปลูกตามพื้นที่ปลูกป่าใหม่ พื้นที่สองข้างเส้นทางต่างๆ ทั้งพื้นที่ดินตัด ดินถม และพื้นที่ราบ พื้นที่ขอบสระน้ำ และอ่างเก็บน้ำเพื่อไม่ให้ดินพังลงในแหล่งน้ำ พื้นที่การเกษตรลักษณะต่างๆ พื้นที่การเกษตรของเกษตรกร รวมพื้นที่ดำเนินการไปแล้วมากกว่าหนึ่งแสนไร่
ผลการดำเนินงานที่มีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นผู้จัดสัมมนาหญ้าแฝกระดับนานาชาติ (International Conference on Vetiver) ขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2539 โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญที่นอกเหนือจากการที่ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ระหว่างนักวิชาการ และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับหญ้าแฝกแล้ว คือ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี จากความสำเร็จของการสัมมนาทั้งด้านวิชาการและการจัดการ เป็นที่ประทับใจของผู้เข้าร่วมสัมมนาเป็นอย่างยิ่ง อีก 4 ปี ต่อมา ประเทศไทย ได้รับเกียรติให้เป็นผู้จัดสัมมนานานาชาติในหัวข้อ "หญ้าแฝกกับสิ่งแวดล้อม" (Vetiver and the Environment) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 18-22 มกราคม 2543 โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญประการหนึ่ง ถือเป็นการเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุ 72 พรรษา การสัมมนาทั้ง 2 ครั้ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเปิดการสัมมนา และทรงเข้าร่วมสัมมนาด้วย การสัมมนาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านต่างๆ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับหญ้าแฝกได้เผยแพร่ไป ทั่วโลก ทำให้ต่างประเทศได้รับทราบถึงความสามารถของนักวิชาการชาวไทย และประเทศมาดากัสการ์ ได้ขอความร่วมมือมายังสำนักงาน กปร. เพื่อให้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญอาสาสมัครของประเทศไทยไปให้คำแนะนำทางวิชาการในการแก้ไขปัญหาความเสียหายต่อเชิงลาด (slope) ในเขตทางรถไฟสาย FCE ซึ่งถูกพายุไซโคลนถล่มเสียหาย ในเดือนกุมภาพันธ์ และ มีนาคม 2543 โดย USAID เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทั้งนี้ สำนักงาน กปร. ได้ประสานกับ ดร.อุทัย จารณศรี ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญหญ้าแฝกจากโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และ นายดิถี แห่งเชาวนิช วิศวกรจาก บริษัท เอพีที คอนซัลท์ จำกัด ได้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวที่ประเทศมาดากัสการ์ ระหว่างวันที่ 23 กรกฎาคม - 14 สิงหาคม 2543 ซึ่งได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง
นอกจากนั้น บริษัท Heineken เห็นว่า ประเทศไทยดำเนินการเกี่ยวกับหญ้าแฝกได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง จึงได้สนับสนุนงบประมาณจำนวนหนึ่งให้กับมูลนิธิชัยพัฒนา สำหรับดำเนินการเกี่ยวกับโครงการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และชาวต่างประเทศหลายคนได้ขอความร่วมมือมายัง สำนักงาน กปร. ให้ดำเนินการจัดอบรมการขยายพันธุ์ และการปลูกหญ้าแฝกเพื่อประโยชน์ต่างๆ ขึ้นในประเทศไทย คณะอนุกรรมการด้านวิชาการ การวางแผน และติดตามประเมินผล การพัฒนา และรณรงค์การใช้หญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงได้ดำเนินการจัดการอบรมเกี่ยวกับการดำเนินงานหญ้าแฝกสำหรับผู้สนใจจากประเทศต่างๆ ในปลายปีนี้
การดำเนินงานโครงการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำรินี้ มีการปฏิบัติงานอย่างเป็นรูปธรรมปรากฎผลอย่างชัดเจนในการใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ตั้งแต่โรงเรียนระดับประถมศึกษาถึงระดับมหาวิทยาลัย หน่วยงานราชการทั้งพลเรือน ทหาร ตำรวจ ตลอดจนเอกชนและพื้นที่ของเกษตรกร ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลเป็นเอกสารวิชาการทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ จดหมายข่าว คือ ภูมิวารินอนุรักษ์ และ Vetiverim มีเครือข่ายข้อมูลในรูปของ Internet 2 ส่วน คือ Thailand Vetiver Network (THVN) และ Pacific Rim Vetiver Network (PRVN) ให้ผู้ที่สนใจทั่วโลกได้ศึกษา การดำเนินงานหญ้าแฝกของประเทศไทย
ในเรื่องของหญ้าแฝกนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้สนพระทัยเพียงการศึกษาดำเนินงานเท่านั้น ยังได้พระราชทานเงินรางวัล The King of Thailand Vetiver Award ให้กับบุคลที่มีผลงานดีเด่นทางด้านการวิจัย และการส่งเสริมหญ้าแฝกแล้วถึง 2 ครั้ง เมื่อผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก อย่างชัดเจน International Erosion Control Association (IECA) ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนสากลที่ได้ดำเนินการสนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ์และป้องกันการพังทลายของดิน ได้มีมติทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัล International Erosion Control Association's International Merit Award แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ ในการอนุรักษ์ดินและส่งเสริมสภาพแวดล้อม โดยใช้หญ้าแฝก เมื่อปี พ.ศ.2536 และในปีเดียวกันนี้เองธนาคารโลก ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรากหญ้าแฝกชุบสำริด ซึ่งเป็นรางวัลสดุดีพระเกียรติคุณในฐานะเป็นนักอนุรักษ์ดินและน้ำด้วย
สำหรับการสัมมนาหญ้าแฝกนานาชาติครั้งที่ 3 นั้นเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะมีขึ้นที่เมืองกวางเจา มลรัฐกวางตุ้ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 18-22 ตุลาคม 2547 ในหัวข้อ Vetiver and Water สำหรับผู้สนใจหญ้าแฝกจากทั่วโลกได้มาเสนอผลงานและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่อไป
นับเป็นสิริมงคล เป็นขวัญและกำลังใจให้กับผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรมหญ้าแฝกเป็นอย่างดีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระมหากรุณาให้เครือข่ายหญ้าแฝกโลก (The Vetiver Network) ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่ข้อมูลในเรื่องการใช้หญ้าแฝกในการอนุรักษ์ดินและน้ำ การฟื้นฟูสภาพเดินและเผยแพร่เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ อยู่ในพระราชูปถัมภ์ การดำเนินงานเกี่ยวกับหญ้าแฝกในโลกนี้จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งจะมีผล ต่อสิ่งแวดล้อมของโลกอย่างแน่นอน ทั้งนี้เพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเป็นขวัญและกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานนั่นเอง ขอจงทรงพระเจริญ






จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่างๆเป็นประจำ ได้ทรงพบเห็นท้องถิ่นหลายๆแห่งประสบปัญหาความแห้งแล้ง หรือขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และการทำเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูเพาะปลูก เกษตรกรจะประสบความเดือดร้อน ทุกข์ยากมาก เนื่องจากบางครั้งฝนได้ทิ้งช่วงนานหรือภาวะฝนทิ้งช่วงเกิดในระยะวิกฤติของพืชผล คือพืชอยู่ในระยะที่กำลังให้ผลผลิตต่ำ หรืออาจจะไม่มี ผลผลิตให้เลย เป็นต้น ดังนั้นภาวะฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงใน แต่ละครั้ง/แต่ละปีจึงสร้างความเดือดร้อน และความสูญเสียทางเศรษฐกิจแก่เกษตรกรเป็นอย่างสูง นอกจากนี้ภาวะความต้องการใช้น้ำนับวันจะทวีปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้นตามอัตราการเพิ่มของประชากร การขยายพื้นที่เกษตรกรรมและการเจริญเติบตของกลุ่มอุตสาหกรรม
ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลและทรง ความอัจฉริยะในพระองค์ท่านดังนั้นในปี พุทธศักราช2498จึงได้มีพระราชดำริค้นหาวิธีการ ที่จะทำให้เกิดฝนตกนอกเหนือจากที่จะได้รับ จากธรรมชาติโดยนำเทคโนโลยีนำสมัยและทรัพยากร ที่มีอยู่ประยุกต์กับศักยภาพของการเกิดฝน ในเขตร้อน เช่น ประเทศไทยมุ่งขจัดปัญหา ความเดือดร้อนดังกล่าว และทรงมีพระราชหฤทัย เชื่อมั่นว่าวิธีการดังกล่าวนี้ จะทำให้ การพัฒนาระบบการจัดทรัพยากรน้ำของชาติเกิด ความพร้อมและครบบริบูรณ์ตามวัฏจักรของ น้ำ คือ
1.
การพัฒนาระบบ การจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำใต้ดิน
2.
การพัฒนาระบบ การจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำผิวดิน
3.
การพัฒนา การ จัดการทรัพยากรแหล่งน้ำใน บรรยากาศและทรงเชื่อมั่นในพระราชหฤทัย ว่าด้วย ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ ของประเทศจะ สามารถดำเนินการให้บังเกิดผลสำเร็จได้ อย่างแน่นอน
ดังนั้น ในปี พุทธศักราช 2499 จึงได้ทรง พระมหากรุณาพระราชทาน โครงการพระราชดำริ "ฝนหลวง" ให้หม่อมราชวงศ์ เทพฤทธิ์ เทวกุล รับไปดำเนินการ ศึกษา วิจัย และ การพัฒนา กรรมวิธีการทำฝนให้บังเกิดผลโดยเร็ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงกำหนดขั้นตอนของกรรมวิธีการทำฝนหลวงขึ้นเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ ตามลำดับ ดังนี้
ขั้นตอนที่หนึ่ง : "ก่อกวน" เป็นขั้นตอนที่เมฆธรรมชาติ เริ่มก่อตัวทางแนวตั้ง การปฏิบัติการฝนหลวง ในขั้นตอนนี้ จะมุ่งใช้สารเคมีไปกระตุ้น ให้มวลอากาศเกิดการลอยตัวขึ้นสู่ เบื้องบน เพื่อให้เกิดกระบวนการชักนำไอน้ำ หรือ ความชื้นเข้าสู่ระบบการเกิด เมฆ ระยะ เวลาที่จะปฏิบัติการในขั้นตอนนี้ ไม่ควรเกิน 10.00 น. ของแต่ละวัน โดยการใช้ สารเคมีที่สามารถดูดซับไอน้ำจากมวล อากาศได้ แม้จะมีเปอร์เซ็นต์ความชื้นสัมพัทธ์ ต่ำ (มี ค่า Critical relative humidity ต่ำ)เพื่อกระตุ้น กลไกของกระบวนการกลั่นตัวไอน้ำในมวล อากาศ (เป็นการสร้าง Surrounding ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเมฆด้วย) ทางด้านเหนือ ลมของพื้นที่เป้าหมาย เมื่อเมฆเริ่มเกิด มีการก่อตัว และเจริญเติบโตทางตั้งแล้ว จึงใช้สารเคมีที่ให้ปฏิกิริยาคาย ความร้อนโปรยเป็นวงกลม หรือเป็นแนวถัดมา ทางใต้ลมเป็นระยะทางสั้นๆ เข้าสู่ก้อนเมฆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดกลุ่มแกนร่วม(main cloud core) ในบริเวณ ปฏิบัติการสำหรับใช้เป็นศูนย์กลาง ที่ จะสร้างกลุ่มเมฆฝนในขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอน ที่ สอง : "เลี้ยง ให้ อ้วน" เป็นขั้นตอนที่เมฆกำลัง ก่อตัวเจริญเติบโตซึ่งเป็นระยะสำคัญมาก ในการปฏิบัติการฝนหลวง เพราะจะต้องไป เพิ่มพลังงานให้แก่ updraft ให้ยาวนานออกไป ต้อง ใช้เทคโนโลยีและประสบการณ์หรือศิลปะแห่ง การทำฝนควบคู่ไปพร้อมๆ กัน เพื่อตัดสินใจ โปรยสารเคมีฝนหลวงชนิดใด ณ ที่ใดของกลุ่ม ก้อนเมฆ และในอัตราใดจึงเหมาะสม เพราะ ต้องให้กระบวนการเกิดละอองเมฆสมดุล กับความแรงของ updraft มิฉะนั้นจะทำให้เมฆ สลาย
ขั้นตอน ที่ สาม : "โจมตี" เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกรรมวิธี ปฏิบัติการฝนหลวง เมฆ หรือ กลุ่มเมฆฝนมี ความหนาแน่นมากพอที่จะสามารถตกเป็น ฝนได้ ภายในกลุ่มเมฆจะมีเม็ดน้ำขนาดใหญ่มากมาย หากเครื่องบินบินเข้าไปในกลุ่มเมฆฝนนี้ จะมีเม็ดน้ำเกาะตามปีก และกระจังหน้า ของเครื่องบิน เป็นขั้นตอนที่สำคัญ และอาศัย ประสบการณ์มาก เพราะจะต้องปฏิบัติการเพื่อ ลดความรุนแรงของ updraft หรือทำให้อายุของ updraft หมดไป สำหรับการปฏิบัติการในขั้นตอนนี้ จะต้องพิจารณาจุดมุ่งหมายของการทำฝนหลวง ซึ่งมีอยู่ 2 ประเด็นคือเพื่อเพิ่มปริมาณฝนตก (Rain enhancement) และเพื่อให้เกิดการกระจายการตกของฝน (Rain redistribution)
เครื่องมือและอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ประกอบในการทำฝนหลวง
1. เครื่องมืออุตุนิยมวิทยา ใช้ใน การตรวจวัด และศึกษาสภาพอากาศประกอบการ วางแผนปฏิบัติการ นอกเหนือจากแผนที่อากาศ ภาพถ่าย ดาวเทียมที่ได้รับสนับสนุนเป็นประจำวัน จาก กรมอุตุนิยมวิทยาที่มีใช้ได้แก่ 1.1 เครื่องวัดลมชั้นบน (Pilot Balloon) ใช้ตรวจวัดทิศทางและความเร็ว ลมระดับสูงจากผิวดินขึ้นไป 1.2 เครื่องวิทยุหยั่งอากาศ (Radiosonde) เป็นเครื่องมือ อิเล็คทรอนิคส์ประกอบด้วยเครื่องส่งวิทยุ ซึ่งจะ ติดไปกับบอลลูน และเครื่องรับสัญญาณวิทย ุ ซึ่งจะบอกให้ทราบถึงข้อมูลอุณหภูมิความชื้น ของบรรยากาศในระดับต่างๆ 1.3 เครื่องเรดาร์ ตรวจอากาศ (Weather Radar) ที่มีใช้อยู่เป็นแบบติดรถยนต์ เคลื่อนที่ได้มีประสิทธิภาพ สามารถบอกบริเวณ ที่มีฝนตกและความแรง หรือปริมาณน้ำฝนและ การเคลื่อนที่ของกลุ่มฝนได้ในรัศมี 200-400 กม. ซึ่งนอกจากจะใช้ประกอบการวางแผนปฏิบัติการแล้ว ยังใช้เป็นหลักฐานในการประเมินผล ปฏิบัติการฝนหลวงอีกด้วย 1.4 เครื่องมือตรวจ อากาศผิวพื้นต่างๆ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิเครื่องวัด ความเร็วและทิศทางลมเครื่องวัดปริมาณน้ำฝน เป็นต้น
2. เครื่องมือเตรียมสารเคมี ได้แก่เครื่อง บดสารเคมีเครื่องผสมสารเคมี ทั้งแบบน้ำและ แบบผง ถัง และ กรวยโปรยสารเคมี เป็นต้น
3. เครื่องมือ สื่อสาร ใช้ในการติดต่อ สื่อสารและสั่งการระหว่างนักวิชาการบน เครื่องบิน กับฐานปฏิบัติการ หรือระหว่างฐาน ปฏิบัติการ 2 แห่ง หรือใช้รายงานผลระหว่างฐาน ปฏิบัติงานสำนักงานฯ ในส่วนกลางโดยอาศัยข่าย ร่วมของวิทยุตำรวจ ศูนย์สื่อสารสำนักงาน ปลัดกระทรวงมหาดไทย วิทยุเกษตร และกรม ไปรษณีย์โทรเลข เครื่องมือสื่อสารที่ใช้ใน ปัจจุบัน ได้แก่วิทยุซิงเกิลไซด์แบนด์ วิทยุ FM.1, FM.5 เครื่องทรพิมพ์ เป็นต้น
4. เครื่องมือ ทาง วิชาการ อื่นๆ เช่นอุปกรณ์ ทางการวางแผนปฏิบัติการ เข็มทิศ แผนที่ กล้อง ส่อง ทางไกล เครื่องมือตรวจสอบสารเคมี กล้องถ่ายภาพ และ อื่นๆ
5. สถานี เรดาร์ฝนหลวง ในบรรดาเครื่องมืออุปกรณ์ วิทยาศาสตร์ ภายใต้โครงการวิจัยทรัพยากรบรรยากาศ ประยุกต์จำนวน 8 รายการนั้น Doppler radar จัดเป็น เครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ที่มีมูลค่าสูงสุด Doppler radar นี้ใช้เพื่อวางแผนการทดลองและติดตาม ประเมินผลปฏิบัติการฝนหลวง สาธิตเครื่องมือชนิดนี้ ทำงานโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์(Microvax 3400) ควบคุม การสั่งการการ เก็บบันทึก รวบรวม ข้อมูล สามารถ นำข้อมูลกลับมาแสดงใหม่จากเทปบันทึก ใน รูปแบบการทำงานของ IRIS (IRIS Software) ผ่าน Processor (RUP-6) กล่าวคือ ข้อมูลจะถูกบันทึกไว้ในเทป บันทึกข้อมูล ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถ นำมาใช้ได้ตลอด ซึ่งเชื่อมต่อกับ ระบบเรดาร์ การแสดงผล/ข้อมูล โดย จอภาพ (TV.monitor) ขนาด 20 นิ้ว สถานที่ตั้ง Doppler radar หรือ ที่ เรียกว่า สถานี เรดาร์ฝนหลวง นี้อยู่ที่ ตำบลยางเปียง อำเภออมก๋อย จังหวัด เชียงใหม่
ด้วยความสำคัญและปริมาณความต้องการให้ ปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือทวีจำนวนมากขึ้น ฉะนั้นเพื่อให้งานปฏิบัติการฝนหลวงสามารถ ปฏิบัติการช่วยเหลือเกษตรกรได้กว้างขวาง และได้ ผลดียิ่งขึ้น รัฐบาลจึงได้ตราพระราช กฤษฎีกาก่อตั้ง สำนักงานปฏิบัติการ ฝนหลวงขึ้นในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2518 เพื่อ เป็นหน่วยงานรองรับโครงการพระราชดำริฝนหลวง ต่อไป
จากกรรมวิธีการทำฝนหลวงที่ใช้เป็นหลัก อยู่ในปัจจุบัน คือการโปรยสารเคมีฝนหลวง จากเครื่องบิน เพื่อเร่งหรือเสริมการก่อตัว และ การเจริญเติบโตของเมฆ และการโจมตีกลุ่ม เป้าหมาย ที่ต้องการที่เคยปฏิบัติกันมา ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบันนี้ นั้นใน บางครั้งก็ประสบปัญหาที่ไม่สามารถ ปฏิบัติการตามขั้นตอน กรรมวิธีให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เช่น ในขั้นโจมตีให้ฝนตกลงสู่พื้นที่เป้าหมาย ไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากฝนตกปกคลุมสนามบิน เกิดลมพายุปั่นป่วน และรุนแรง เครื่องบิน ไม่สามารถบินขึ้นปฏิบัติการได้ ทำให้กลุ่มเมฆ เคลื่อนพ้นพื้นที่เป้าหมาย จากปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จึงได้มีการวิจัยและทดลองกรรมวิธี การทำฝน เพื่อการพัฒนาและก้าวหน้าบรรลุ เป้าหมายยิ่งขึ้นอีกระดับหนึ่ง อาทิเช่นการทำวิจัย สร้างจรวดบรรจุสารเคมียิงจากพื้นดินเข้าสู่ ก้อนเมฆ หรือยิงจากเครื่องบิน จึงได้มี การเริ่มวิจัยประดิษฐ์จรวดทำฝนร่วมกับ กรมสรรพาวุธทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2515-2516 จนก้าวหน้าถึง ระดับทดลองยิงในเบื้องต้นแล้ว แต่ต้อง หยุดชะงักด้วยความจำเป็นบางประการของ กรมสรรพาวุธทหารบกจนถึงพ.ศ.2524 คณะกรรมการสภาวิจัย แห่งชาติได้แต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาและ วิจัยจรวดฝนเทียมขึ้นประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ ด้านจรวดของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ นักวิชาการ ของสภาวิจัยแห่งชาติ และนักวิชาการฝนหลวงซึ่ง ได้ทำการวิจัยประดิษฐ์และพัฒนาจรวด ต้นแบบขึ้น ทำการทดลองยิงทดสอบก้าวหน้า มาตามลำดับ และถึงขั้นบรรจุสารเคมีเพื่อ ทดลองยิงเข้าสู่ก้อนเมฆจริงแล้วในปี พ.ศ. 2530 ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นทำการผลิต จรวดเชิงอุตสาหกรรมเพื่อทำการยิงทดลอง และตรวจสอบผลในเชิงปฏิบัติการต่อไป ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรง พระกรุณาพระราชทานแนวความคิดในการวิจัยชิ้นนี้
อาจกล่าวได้ว่าการวางแผนและกำหนดกรรมวิธี ในการทำฝนหลวงในขั้นตอนต่างๆนั้น ได้ มาจากพระราชอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการประมวลและวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้ง การนำความสามารถของเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในการดำเนินงานให้แต่ละขั้นตอนมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิทยุสื่อสาร, ดาวเทียม หรือ แม้แต่คอมพิวเตอร์ ก็ตาม กล่าวคือ พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี สารสนเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง




การบำบัดน้ำเสียตามพระราชดำริด้วย "กังหันน้ำชัยพัฒนา"

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานพระราชดำริให้ประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศแบบ ประหยัดค่าใช้จ่าย สามารถผลิตขึ้นได้เองในประเทศ โดยทรงมุ่งหวังที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลในการบรรเทาน้ำเน่าเสียอีกทางหนึ่งด้วย โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนงบประมาณ เพื่อศึกษาวิจัยสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ร่วม กับกรมชลประทาน ซึ่งต่อมาเครื่องมือบำบัดน้ำเสียนี้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย และเรียกกันว่า"กังหันน้ำชัยพัฒนา" การทดลองวิจัยเพื่อประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศในขณะนี้มี 9 รูปแบบ คือ 1. เครื่องกลเติมอากาศระบบเป่าอากาศลงไปใต้น้ำและกระจายฟอง Chaipattana Aerator, Model RX-1 2. เครื่องกลเติมอากาศระบบเป่าอากาศหมุนใต้น้ำ หรือ "ชัยพัฒนาซุปเปอร์ฟองแอร์" Chaipattana Aerator, Model RX-3 3. เครื่องกลเติมอากาศแรงดันน้ำ หรือ "ชัยพัฒนาเวนจูรี่" Chaipattana Aerator, Model RX-4 4. เครื่องกลเติมอากาศระบบอัดและดูดอากาศลงใต้น้ำ หรือ "ชัยพัฒนาแอร์เจท Chaipattana Aerator, Model RX-5 5. เครื่องกลเติมอากาศแบบตีน้ำสัมผัสอากาศ หรือ "เครื่องตีน้ำชัยพัฒนา" Chaipattana Aerator, Model RX-6 6. เครื่องกลเติมอากาศแบบดูดและอัดน้ำลงไปที่ใต้ผิวน้ำ หรือ "ชัยพัฒนาไฮโดรแอร์" Chaipattana Aerator, Model RX-7 7. เครื่องมือจับเกาะจุลินทรีย์ หรือ "ชัยพัฒนาไบโอ" Chaipattana Bio-Filter, Model RX-8 8. เครื่องกลเติมอากาศแบบกระจายน้ำสัมผัสอากาศ หรือ "น้ำพุชัยพัฒนา" Chaipattana Aerator, Model RX-9 9. เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำแบบหมุนช้า หรือ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" Chaipattana Aerator, Model RX-2 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 เครื่องกลเติมอากาศ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" ได้รับการพิจารณาและทูลเกล้า ฯ ถวายสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย นับเป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่ 9 ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตร และเป็นครั้งแรกที่ได้มีการรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรให้แก่พระบรมราชวงศ์ด้วย จึงนับได้ว่าเป็น "สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยและเป็นครั้งแรกของโลก" นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้ประกาศให้กังหันน้ำชัยพัฒนาได้รับรางวัลที่ 1 ประเภทรางวัลผลงานคิดค้นหรือสิ่งประดิษฐ์ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ประจำปี 2536 และทูลเกล้า ฯ ถวายรางวัลนี้แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกวาระหนึ่ง หลักการและวิธีการทำงานของกังหันน้ำชัยพัฒนา 1. โครงกังหันน้ำรูป 12 เหลี่ยม 2. ซองบรรจุน้ำติดตั้งโดยรอบ จำนวน 6 ซอง รูซองน้ำพรุนเพื่อให้น้ำไหลกระจายเป็นฝอย 3. ซองน้ำจะถูกขับเคลื่อนให้หมุนโดยรอบด้วยเกียร์มอเตอร์ ซึ่งทำให้การหมุนเคลื่อนที่ของซองน้ำ วิดตักน้ำด้วย ความเร็ว สามารถวิดน้ำลึกลงไปจากใต้ผิวน้ำประมาณ 0.50 เมตร ยกน้ำสาดขึ้นไปกระจายเป็นฝอยเหนือผิวน้ำ ได้สูงถึง 1 เมตร ทำให้มีพื้นที่ผิวสัมผัสระหว่างน้ำกับอากาศมากและส่งผลให้ออกซิเจนสามารถละลายเข้าไปในน้ำ ได้อย่างรวดเร็ว 4. ในขณะที่น้ำเสียถูกยกขึ้นไปสาดกระจายสัมผัสกับอากาศแล้วตกลงไปยังผิวน้ำนั้น จะก่อให้เกิดฟองอากาศ จมตามลงไปใต้ผิวน้ำด้วย ในขณะที่ซองน้ำกำลังเคลื่อนที่ลงสู่ผิวน้ำแล้วกดลงไปใต้ผิวน้ำนั้น จะเกิดการอัดอากาศภายในซองน้ำจนกระทั่งซองน้ำจมน้ำเต็มที่ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายเทออกซิเจนได้สูงขึ้น

ภูมิปัญญาท้องถิ่น



โอ่งมังกร"อุตสาหกรรมพื้นบ้านที่สร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดราชบุรี



จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านว่าสมัยก่อนโอ่งที่ใช้กักเก็บน้ำชั้นดี ต้องนำเข้ามาจากประเทศจีนทั้งนั้น แต่เนื่อจากภาวะสงครามโลกคร้งที่ 2 เป็นต้นมา สินค้าจากต่างประเทศหลายอย่างไม่สามารถนำเข้าประเทศได้จึงจำเป็นต้องผลิตกันเอง
และถ้าย้อนอดีต จากคำบอกเล่าของลูกหลาน ทายาทเจ้าของโรงโอ่ง ตั้งแต่ พ.ศ.2476 นายซ่งฮง แซ่เตีย และนายจือเหม็ง แซ่อึ้ง สองสหายที่เคยทำเครื่องปั้นดินเผาที่เมืองป้งโคย ประเทศจีน อพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ได้มาพบแหล่งดิน ที่จ.ราชบุรี และเห็นว่าเป็นดินที่ใช้ในการปั้นโอ่งได้ จึงเป็นที่มาของโรงโอ่ง"เถ้าแซไถ่" และโรงโอ่ง"เถ้าฮงไถ่"ผลิตโอ่งลายมังกรในเวลาต่อมา
"โอ่งราชบุรี ทำไมต้องมีลายมังกร"
แต่เดิมที่ทำกันเป็นโอ่งที่ไม่มีลวดลายใดๆ เรียกว่า "โอ่งเลี่ยน" จากการที่ต้นกำเนิดโอ่งมาจากชายจีน 2 ท่านดังกล่าว เมื่อครึ่งศตวรรษมาแล้วลูกหลานจึงได้คัดเลือกลวดลายที่เป็นมงคลขึ้น เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อผู้ใช้ นอกเหนือจากการพัฒนาคิดหาความงดงามเพียงอย่างเดียว แน่นอน ในที่สุดก็เลือกสรรลวดลาย"มังกร"ขึ้น ตามคติความเชื่อในวัฒนธรรมของจีน



ตุ๊กตาผ้าราชบุรี

ตุ๊กตาผ้าขนสัตว์เป็นสินค้าที่เลื่องชื่อของจังหวัดราชบุรี และถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของราชบุรีเช่นเดียวกับโอ่งมังกร ที่ทำให้คนทั่วประเทศ รู้จักจังหวัดราชบุรี ในช่วงปี พ.ศ.2527-2528 ชาวบ้านกำแพงนิยมทำอาชีพ ผลิตภัณฑ์ยัดนุ่น และใยฝ้าย ได้แก่ หมอนหก หมอนปลา ตุ๊กตารูปสัตว์ที่นอนเล็กยัดนุ่น หมอนประดับชุดรับแขก ตกแต่งอย่างสวยงาม นำใส่รถยนต์ไปขายที่กรุงเทพฯ หรือที่ต่างจังหวัด พอถึงแหล่งก็ให้คนหาบเร่ขายไปตามหมู่บ้าน ตรอก ซอกซอย ตามแต่จะดั้นด้นเข้าไปถึง




ผ้าจกราชบุรี




ผลิตภัณฑ์ ผ้าจกราชบุรีรายละเอียดผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ผ้าจกราชบุรี เป็นผ้าจกและผ้าซิ่นรางบัว ทอพื้นเมืองลายไทยโบราณ มีความละเอียดและประณีตมาก สีสันและลวดลายสวยงาม มีให้เลือกมากมาย (OTOP)@วัตถุดิบที่ใช้เส้นไหม, สีย้อมการใช้/ประโยชน์ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งแสดงถึงความอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยได้เป็นอย่างดีสถานที่จำหน่าย กลุ่มทอผ้าจกรางบัวศูนย์ทอผ้าจกวัดรางบัว 97/3 หมู่ 1 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี 70150 ติดต่อ : นางจันทร์เพ็ญ อร่ามศิริรุจิเวทย์โทร : 09 9819550



ผลิตภัณฑ์ไม้ตาล






ประวัติความเป็นมาของกลุ่มกลึงไม้ตาล

จุดเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์ ไม้ตาล ผลิตขึ้นแห่งแรกในประเทศไทยที่หมู่ 1 ตำบลหนองปรง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี โดยเริ่มขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2515 โดยมีพ่อค้างานกลึงไม้ ชื่อ นายสุจินต์ ศรีสวัสดิ์ ชาวจังหวัดสมุทรสงคราม (มีภูมิลำเนาเดิมอยู่อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี) ได้มาเช่าบ้านอยู่ที่หมู่ที่ 5 ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ได้มาริเริ่มงานกลึงไม้เป็นรูปแบบต่างๆ เช่น ครก กำไรข้อมือ โดยใช้ไม้พุด ไม้มะเกตุ ไม้ประดู่ เมื่อมีงานเข้ามามากก็เริ่มขยายงานมายังตำบลหนองปรง ซึ่งมีช่างไม้เป็นชาวไทยทรงดำ มีฝีมืออยู่หลายคน ได้แก่ นายช้อย ทองสัมฤทธิ์ นายปี จำปาทอง นายมก ร่าเริง นายต๊อก ร่าเริง นายเที่ยง ร่าเริง นายสมหมาย ร่าเริง นายหัน อ่อนยิ่ง และนางอนงค์ อ่อนยิ่ง และจ้างให้กลุ่มคนเหล่านี้กลึงไม้โดยทำแท่นกลึง และแนะนำวิธีการกลึงไม้ ซึ่งไม้ที่ใช้เริ่มแรกคือ ไม้ประดู่ ไม้พุด ไม้มะเกตุ กลึงเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่นที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยมีนายสุจินต์ เป็นผู้ออกแบบ และร้านค้าที่ต้องการผลิตภัณฑ์ช่วยออกแบบให้ ต่อมาไม้เหล่านั้นเป็นไม้หายาก และป่าไม้ประกาศเป็นไม้หวงห้าม
แนวคิดซึ่งได้มาในตัวผลิตภัณฑ์ กลุ่มช่างกลึงไม้ จึงปรึกษาหารือกันว่าจะนำไม้ที่ไหนมากลึง ก็เห็นว่าไม้ตาลซึ่งเป็นต้นไม้ที่ขึ้นอยู่อย่างมากมายตามท้องทุ่ง หัวไร่ปลายนา ถ้าเป็นต้นที่อายุเก่าแก่ 80-100 ปี จะถูกโค่นทิ้ง เพราะไม่สามารถให้ผลผลิตได้ จึงได้นำมาใช้ประโยชน์ โดยนำมาทดลองกลึงเป็นรูปผลิตภัณฑ์ต่างๆซึ่งต้องอาศัยภูมิปัญญาและเทคนิคในการกลึงเป็นอย่างมาก ต้องตีใบมีดที่ใช้กลึงกันเอง เพราะไม้ตาลเป็นไม้ที่มีเสี้ยน ต้องใช้เทคนิคในการกลึงสูงมาก ผลิตภัณฑ์เริ่มแรกที่ใช้กลึง ได้แก่ ครก หม้อดิน กำไรข้อมือ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีมาก และต่อมาได้กลึงเป็นกระโถน ส่งขายที่หน้าเขาวัง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ชาวต่างประเทศคือ ญี่ปุ่นได้มาเห็นก็สั่งซื้อเป็นจำนวนมาก และได้พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้า และคิดประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆจำหน่าย เพิ่มรายได้ให้กับผู้ผลิตเป็นจำนวนมาก มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในนามผลิตภัณฑ์ กลึงไม้ตาลตำบลหนองปรง
การสั่งสม สืบสานผลิตภัณฑ์ ต่อมาได้นำภูมิปัญญาเหล่านี้ถ่ายทอดให้กับผู้ที่สนใจสร้างเป็นอาชีพเสริม เนื่องจากประชาชนในชุมชนส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาเป็นหลัก เมื่อมีเวลาว่างหลังฤดูเก็บเกี่ยว ก็มากลึงไม้ตาลเป็นอาชีพเสริม แต่เป็นลักษณะต่างคนต่างทำ ภาครัฐจึงได้เข้ามาช่วยในการรวมกลุ่ม โดยมีคณะกรรมการรับผิดชอบ 1 คณะ มี นางอนงค์ อ่อนยิ่ง เป็นประธานกลุ่ม ใช้บ้านเลขที่ 44/1 หมู่ที่ 1 ตำบลหนองปรง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เป็นที่ทำการ กลุ่มกลึงไม้ตาลตำบลหนองปรง ปัจจุบันมีผู้กลึงไม้ตาลในตำบลหนองปรง จำนวน 150 หลังคาเรือน เป็นที่รู้จักในผลิตภัณฑ์กลึงไม้ตาลตำบลหนองปรง ทั้งในและต่างประเทศ ติดต่อ 09-7407218 ประธานกลุ่มกลึงไม้ตาล